เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร - PASSION BRUNCH

แนะนำตัวสำหรับคนที่ไม่รู้จักคุณ

ชื่อเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ปัจจุบันเป็น ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่ผลักดันกฎหมาย ‘สุราก้าวหน้า’ ช่วงหลังนี้ผมเริ่มกลับมาทำเบียร์มากขึ้น เผื่อถ้าปีหน้าเลือกตั้งแล้วไม่ได้ จะได้มีอาชีพให้กับตัวเอง

เริ่มลงทุนทำแบรนด์ใหม่กะว่าจะทำเบียร์ 7 คาแรกเตอร์ 7 สไตล์ ที่จะผสมการเล่าเรื่องผ่านคาแรกเตอร์ดิไซน์ที่เขียนลงเว็บตูนหรือนิยายเชิง political sci-fi (นวนิยายวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเมือง) เกี่ยวกับโลกอนาคตลงไปด้วย จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้คือวันใดวันนึงในอนาคต โปรเจกต์นี้จะเข้าไปอยู่ใน Netflix ได้

ช่วยเล่าเรื่องก่อนที่จะมาเป็น ส.ส. ให้ฟังหน่อย

ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เป็นคนของทุกที่ เกิดที่โคราช เรียนมัธยมที่อุบลฯ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ไปธรรมศาสตร์ที่ปทุมธานี ตอนทำงานเป็นทนายทำงานอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา 
 
งานแรกหลังเรียนจบผมเป็นทนายให้กับบริษัทเอกชน ผมเคยต้องว่าความให้ทางบริษัทเพื่อยึดที่ดินลุงคนนึง ถือเป็นเหตุการณ์นึงที่สร้างความสะเทือนใจให้ผมในฐานะการทำงานทนายเป็นอย่างมาก ภาพที่เห็นคือลุงแก่ ๆ คนนั้นใส่เสื้อที่ขาดและกางเกงขาสั้นและใส่รองเท้าเตะ ซึ่งโดยปกติแล้วห้ามใส่ในศาลเพราะมันไม่สุภาพ ตอนที่ศาลให้กล่าวคำปฏิญาณตนให้อ่านว่าจะพูดความจริง นับถือศาสนาอะไร ลุงเขาเงียบไปสักพักนึงก่อนจะบอกว่า ‘ผมอ่านหนังสือไม่ออก’ ตอนนั้นรู้สึกตกใจมาก ว่าถ้าลุงอ่านไม่ออกแล้วไปเซ็นเอกสารสัญญาได้ยังไง ลุงโดนหลอกเหรอวะ 
 
ในฐานะของคนทำงานกฎหมายมันเป็นความรู้สึกที่สร้างภาพจำที่ไม่ดีเท่าไรกับผม ไม่ได้หมายถึงกฎหมายไม่ดีนะ แต่ผมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ใน wrong side of the law (การอยู่ในฝั่งที่ไม่ถูกต้อง) ผมเลยตัดสินใจลาออกแล้วออกมาทำงานรับจ๊อบเป็นไกด์พาเด็ก ๆ ไปเที่ยวที่เป็น English Camp ได้เงินวันละ 900 บาท ตอนนั้นตั้งคำถามกับตัวเองว่าชอบอะไรแน่ ได้คำตอบออกมาว่าผมเป็นคนชอบเที่ยวแล้วผมก็ได้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เลยคิดว่าไปเรียนเป็นไกด์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อสอบใบประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์

ช่วงปีที่ทำงานเป็นไกด์เป็นปีที่ผมปล่อยเนื้อปล่อยตัว มันสนุกที่ได้ลองทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งช่วงนี้เองคือช่วงที่ได้ลองชิมเบียร์นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนตัวเป็นคนชอบดื่มอยู่แล้ว พอได้เจอชาวต่างชาติมันยิ่งเปิดโลกทางความคิดให้กับเราด้วย ได้เจอและรู้จักคนเยอะขึ้นมาก ๆ เทียบกับตอนที่เป็นทนายเราทำเคสเดียวยาวนานเป็นปี เจอแต่กับคนกลุ่มเดิม ๆ แต่งานไกด์ถ้าสมมุติวันไหนผมทำงานได้ไม่ดีก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีคนใหม่มาให้ได้แก้ตัวอีก แต่ผมก็ต้องมีความรับผิดชอบเหมือนกันนะ เพราะมันเป็นงานที่ work by individual (ทำกับบุคคล) ในทุกวันจะเจอเรื่องความต่างทางด้านวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกันของคนแต่ละประเทศ ทำให้ผมได้ฝึกเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเยอะมาก เรียนรู้ที่จะอ่านคนมากขึ้นซึ่งเป็นทักษะที่ติดตัวมาใช้ในตอนที่ได้เป็น ส.ส. ด้วย

เป็นไกด์มาได้สักพักก็เจอกับช่วงเวลาม็อบ กปปส. ในกรุงเทพฯ ตอนนั้นไม่มีงานให้ทำ อยู่ไม่ได้เลยต้องไปหางานทำที่ภาคใต้ ได้ไปอยู่เขาหลักและทำงานเป็นไกด์กับบริษัทท่องเที่ยวทะเล ผมว่าทะเลมันสอนอะไรให้ผมในหลายอย่าง ทะเลมันเหมือนผู้หญิงเหมือนกันนะ ถ้าสงบนิ่งก็จะสวย แต่ถ้าเกรี้ยวกราดก็เอาคนตายได้เลย ผมเคยมีประสบการณ์ที่ต้องลากศพคนขึ้นจากหาด หรือรอเพื่อนที่ออกเรือไปแล้วไม่ติดต่อกลับมาจนเช้าก็มี
 
ตอนนั้นผมมีแฟนเป็นคนฟินแลนด์ที่เป็นไกด์ด้วยกัน ซึ่งมีสองทางเลือกคือ หนึ่งหนีตามเขากลับไปฟินแลนด์หรืออยู่ที่นี่ต่อ แต่ดันทะเลาะกันก่อนและได้เลิกรากันไป พออกหักเลยหนีกลับมากรุงเทพฯ เหมือนเดิม ช่วงที่กลับมาเป็นช่วงที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว กรุงเทพฯ เริ่มคลี่คลายมากขึ้น

อยู่มาวันนึงก็คิดได้ว่า ‘เอ้า อากงกูหลอกกูนี่หว่า ไหนบอกขยันแล้วจะรวย ไม่เห็นรวยสักที อ่อ บังเอิญเราอยู่ในประเทศเฮงซวยผมเลยรวยไม่ได้สักที’

พอดีกับว่าทางร้าน Mikkeller เปิดรับเบียร์เทนเดอร์อยู่ผมเลยสมัครไป ตอนนั้นผมทำทั้งงานไกด์และงานบาร์ เป็นที่มาของมอเตอร์ไซค์คันปัจจุบันที่ทุกคนเห็นกัน ผมต้องซื้อมอเตอร์ไซค์เพราะต้องเดินทางจากข้าวสารไปเอกมัยทุกวัน มันเหนื่อยมากจริง ๆ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็เริ่มหัดต้มเบียร์เองไปด้วย งานในบาร์ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะมันทำให้ผมได้เจอ brewer (คนทำเบียร์) หลาย ๆ คน มันทำให้ผมมองเห็นความเป็นไปได้ในการทำเบียร์ เริ่มมองเห็นว่ามันสามารถทำเป็นอาชีพได้ เลี้ยงดูครอบครัวได้ เลยพยายามเรียนรู้ผ่านการทำงานอย่างหนักแบบนี้ประมาณปีนึง 
 
อยู่มาวันนึงก็คิดได้ว่า ‘เอ้า อากงกูหลอกกูนี่หว่า ไหนบอกขยันแล้วจะรวย ไม่เห็นรวยสักที อ่อ บังเอิญเราอยู่ในประเทศเฮงซวยผมเลยรวยไม่ได้สักที’ (หัวเราะ) ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าทำงานเหนื่อยขนาดนั้นไปทำไมกัน พอดีกับเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับงานบาร์ เลยออกจากร้านแล้วหันมาตั้งใจต้มเบียร์จริงจัง ถ้าวันไหนมีงานไกด์ก็ไปทำ นอกจากนั้นต้มเบียร์อย่างเดียวเลย 
 
ผมเริ่มต้มเบียร์เองกับเพื่อน บรรจุขวดเอง คุยกับลูกค้าเอง ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งเอง ทุกอย่างทำเองทั้งหมด ลำพังแค่การต้มเบียร์เองมันก็ยากมากแล้ว เพราะการทำเบียร์มันอาศัยความ consistency (ความคงเส้นคงวา) ต้องเซตระบบและคิดสูตรเยอะมาก ๆ ตอนนั้นลงเงินหมดตัวเลย 3-4 แสนบาท เช่าตึกเพื่อต้มเบียร์ เรียกว่าจริงจังระดับ Nano Brewery ได้เลย คนมองมาคงคิดว่าเป็นงานที่เท่มาก ๆ การทำเบียร์คราฟต์นี่ดูเหมือนจะเท่และเซ็กซี่ดีนะ แต่ความจริงคือ 90% ของงานคือการทำความสะอาด

ระหว่างเริ่มต้มเบียร์เป็นยังไงบ้าง

เคยมีช่วงที่โดนแบนทั้งวงการเลยเพราะเจอขวด defect (มีความเสียหาย) เจอดราม่าหนักมาก โดนยำเละเลย แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนนึงที่สร้างภูมิต้านทานให้กับตัวเองในตอนที่ได้ทำงานการเมืองเหมือนกันนะ ใครจะบูลลี่เรายังไง เราไม่สนใจเลย เพราะเราผ่านการโดนวิจารณ์และเรื่องยาก ๆ มาหลากหลายรูปแบบแล้ว มันค่อย ๆ อัปเลเวลชีวิตในตัวเราเอง
 
หลังจากนั้นผมเริ่มทำมันขึ้นมาเป็นแบรนด์คราฟต์เบียร์ ออกแบบฉลากอะไรเรียบร้อยเลย เพราะตอนนั้นมีแฟนเป็นนักวาดภาพประกอบเกาหลีด้วย แบรนด์จึงเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ตอนนั้นกำลังทำโปรเจกต์โชว์ร่วมกับคนที่ทำงานวิชวลดิไซน์เพื่อจัดแสดง กำลังไปได้สวยเลย แต่ดันโดนกรมสรรพสามิตจับซะก่อน และตกเป็นข่าวดังอย่างที่ทุกคนได้เห็น ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ค่าเช่าตึกก็ต้องจ่าย เพื่อนที่ลากมาทำด้วยกันก็ไม่รู้จะเอายังไงต่อ ตอนนั้นเหมือนเดินทางมาพร้อมกันเป็น Journey ที่ไม่ใช่การเดินทาง แต่คือเจอหนี้สินร่วมกัน
 
สองเดือนหลังจากที่โดนจับผมและเพื่อนเปิดบาร์ขึ้นมาด้วยการทำคูปองเล่มละ 1,000 บาท แต่มูลค่าจริงคือ 2,000 บาท พวกเรานำเงินที่ขายคูปองได้มาทำร้านให้สามารถเปิดได้ เปิดมาตอนแรกก็มีแต่โซฟาตัวเก่า ๆ ที่คนรู้จักให้มา ร้านเราชื่อ Anata Craft Beer Bar ถามว่า Anata มาจากอนัตตาเหรอ เปล่ามาจากคำว่า อนาถา ต่างหากซึ่งที่มาของชื่อก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเราไม่มีทุนอะไรมาทำร้าน ทำเท่าที่มี ตอนนั้นเบียร์ที่ต้มเราขายกันด้วยราคาที่แล้วแต่คนซื้อ อยากกินเท่าไรก็จ่าย 

จุดเริ่มต้นทางการเมือง

การทำบาร์ทำให้ผมได้เจอคนเยอะมาก ได้เจอพี่ส้มพี่เบนซ์จากประชาชนเบียร์ด้วย จนมีอยู่วันนึงลูกค้าประจำเราที่เขาเป็นอาจารย์มาชวนไปงานเสวนาพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ อยากไปไหม ผมก็ตอบตกลงไปโดยไม่ได้คิดอะไร ต้องบอกก่อนว่าผมเป็น Yes Man มาตลอด ปฏิเสธคนไม่เป็นเลย ตอนนั้นแค่คิดว่าจะไปโปรโมตร้านเพราะร้านกำลังรุ่งเลยเปิดอยู่ 3 สาขา
 
ไปถึงที่งานมีคนอยู่ทั้งหมดประมาณ 50 คน มองไปรอบ ๆ ก็เห็นลูกค้าเราอยู่ในงานก็ 10 คนแล้ว ตอนแรกแอบนึกว่าหลอกพามากินเหล้า พอถึงเวลาของการแนะนำตัวเราก็ได้รู้ว่าแต่ละคนทำงานอะไรกันบ้าง หลาย ๆ คนทำงานเพื่อสังคมในด้านต่าง ๆ ลูกค้าบางคนผมเองก็ไม่ได้รู้มาก่อนว่าเขาทำงานในด้านนี้ด้วย จนมาถึงคนสุดท้ายแนะนำตัวว่า ‘พี่ชื่อเอก เป็นนักธุรกิจ’ ตอนนั้นผมคิดในใจว่าไอ้อาเปะนี่ใครวะ ทำธุรกิจไรก็บอกมาสิ ทำไมต้องไม่บอกด้วย แล้วค่อยมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นนักธุรกิจรวยเป็นหมื่นล้าน 
 
ก่อนกลับผมก็เดินลาคนในงานทีละคนจนเจอธนาธรเขาก็ถามผมว่า ‘คุณเอาด้วยไหม’ ผมก็ตอบเขาไปว่า ‘เอาก็เอาดิครับ’ แต่ตอนนั้นในหัวคือเอาไรไม่รู้นะ คิดว่าคงไม่มีไรจริงจังหรอก ก็ตอบไปก่อน จนผ่านเวลาไปหลายเดือนมีสายเรียกเข้ามาให้ไปคุยที่ตึกไทยซัมมิท ตอนนั้นคิดว่าการเมืองเหรอ ผมไม่มีประสบการณ์เลยนะ ผมไม่ใช่คอการเมืองด้วย รู้เรื่องกฎหมายบ้างเพราะเรียนมา แต่ตอนนั้นผมก็เป็นเหมือนประชาชนทั่วไป พอจะมองเห็นอะไรบางอย่างแต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะลำพังตัวคนเดียวจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ การเมืองเป็นเรื่องที่ไกลตัวสุด ๆ ที่ตอบตกลงเป็นผู้จัดตั้งพรรคเราก็แค่คิดว่า ‘โอเคครับ ถ้าพี่เอานโยบายต้มเบียร์ของผม ผมก็เอาด้วย’ เราแค่อยากต้มเบียร์เฉย ๆ ชีวิตนี้ไม่ได้อยากเป็นนายกฯ หรืออะไรแบบนั้นเลย ผมแค่อยากต้มเบียร์แค่นั้นเลย

การที่ผมอยากต้มเบียร์ ทำไมผมถึงขั้นต้องมาเป็น ส.ส. ขั้นตอนมันต้องยากขนาดนั้นไหม

ทำไมถึงสนใจในสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้

ง่าย ๆ เลยนะครับ ผมชอบเบียร์ สุดท้ายถ้าถามตัวเองยังไงก็ชอบเบียร์ ทำไมเรื่องง่าย ๆ แค่นี้กลับเกิดขึ้นไม่ได้ 
 
ทำไมการที่ผมอยากต้มเบียร์ผมถึงขั้นต้องมาเป็น ส.ส. ขั้นตอนมันต้องยากขนาดนั้นไหม เวลาที่ไปคุยกับเพื่อนต่างชาติผมมักจะโดนแซวหนักมากเรื่องกฎหมายเบียร์ในประเทศไทย และที่ไทยเคยมีงาน South East Asia Brewer Conference จัดไปสองครั้ง แต่ในงานไม่มีเบียร์คราฟต์ให้กิน ไม่มีโรงเบียร์ให้ไปดูด้วย มันต่างจากงานที่จัดในประเทศอื่นโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วในต่างประเทศมันจะไม่ได้มีแค่สัมมนา แต่โรงเบียร์ท้องถิ่นในประเทศเขาจะจัดทัวร์ที่โรงเบียร์ตัวเอง มีปารตี้ที่โรงเบียร์ เหมือนเป็นการฮอปปิงไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันคือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความรู้กัน แต่ที่ไทยมันไม่มีอะไรให้ดูเลย มันยิ่งแปลกตรงที่ตอนนี้ประเทศเราปลูกกัญชาได้แต่ต้มเบียร์ไม่ได้


เคยนอยด์และหมดกำลังใจในสิ่งที่ทำอยู่ไหม

เคย ตอนนั้นผมอยู่ที่เกาหลี เป็นช่วงที่โดนดราม่าเยอะมาก ผมมีโอกาสได้เจอเจ้าของที่ทำแบรนด์เบียร์ Brewdog จากสกอตแลนด์ เลยได้ถามเขา เลยถามเขาว่า ‘ช่วงเวลาไหนคือช่วงที่ยากลำบากที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ’ ซึ่งเจ้าของเบียร์ Brewdog ตอบว่า ช่วงปีที่ 2-3 คือช่วงเวลาที่ยากที่สุด คือมันจำเป็นที่จะต้องเชื่อว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ต่างจากช่วงปีแรกตอนเริ่มมันไม่ได้มีอะไรมากและยังสนุกอยู่ แต่พอเข้าปีที่ 2 งานเริ่มหนักขึ้น แล้วเข้าสู่ช่วงที่เหนื่อยมาก ๆ ตอนนั้นเหมือนเป็นจุดวัดเหมือนกัน แพสชันมันก็มีอยู่นะ แต่ลำพังแค่แพสชันอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องมีความบ้า ความถึกด้วย ถ้าเราขาดการปฏิบัติ ขาดโฟกัสมันจะยากและอาจจะทำให้ทุกอย่างพังลงได้ง่าย ๆ

อย่างเวลาที่ผมมองเพื่อนและกลุ่มคนรอบตัวผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ห่วยที่สุด ซึ่งความจริงผมเองก็แฮปปี้กับการเป็นไกด์ได้ไปเที่ยว เพื่อนหลายคนก็อิจฉานะ เพราะเรามีเวลามากกว่า แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนคนอื่นในรุ่น ที่เป็นผู้พิพากษา อัยการ หรือทำงานบริษัทกฎหมายได้เงินเดือนละแสนห้าโบนัส 26 เดือนอะไรแบบนั้น มันทำให้ผมกลับมาคิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่วะในตอนนี้ ความจริงมันไม่มีใครมาตัดสินเราหรอก ไม่มีใครมาตำหนิเรา มีแต่เราที่กระทำสิ่งนั้นกับตัวเอง ผมอาจจะดูมีอิสระทางเวลา แต่กลับกันผมก็ไม่ได้มีอิสระทางการเงิน แต่พอเริ่มโตขึ้นเราต่างเหมือนต้องบังคับให้ทำความเข้าใจตัวเองให้ได้

ชอบมีคนเข้ามาถามผมว่า ‘ที่ผมมาเป็น ส.ส. เนี่ย นโยบายสุราก้าวหน้านี่มึงทำเพื่อตัวเองปะวะ’ ผมก็ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจว่า ‘เออครับ ผมทำเพื่อตัวเอง’

มีความคิดเห็นอย่างไรกับการที่ต้องสู้เพื่อให้ตัวเองสามารถต้มเบียร์ได้

ผมคิดว่าทุกวงการหรือทุกคน มีสิทธิ์ มีเสียงที่จะทำเพื่อตัวเอง แรก ๆ ที่ผมเข้ามาทำการเมืองจะชอบมีคนเข้ามาถามผมว่า ‘ที่ผมมาเป็น ส.ส. เนี่ย นโยบายสุราก้าวหน้านี่มึงทำเพื่อตัวเองปะวะ’ ผมก็ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจว่า ‘เออครับ ผมทำเพื่อตัวเอง’ ใช่ครับ ถ้าคนเราคิดในหัวว่ามันควรทำ แล้วมัวรอให้ใครมาทำให้มันเกิดขึ้นเองแบบนั้นมันได้เหรอ ถ้าเราไม่เคร่งครัดกับตัวเอง หรือไม่ได้เรียกร้องสิ่งที่ต้องการให้ตัวเอง แล้วรอให้ใครมาทำให้เหรอ
 
การที่เราเลือกที่จะทำในสิ่งที่เราอยากทำ หรือสนับสนุนสิ่งที่เราคิดคือสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ ไม่ใช่แค่วงการเบียร์แต่เป็นทุกวงการ มันมีความจริงของประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งที่ว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น หากไม่เกิดการต่อสู้ของผู้ที่อยากเปลี่ยนแปลงหรืออยากได้มัน ในความเป็นจริงแล้วคนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาอยากให้คนที่มีปัญหาอย่างผมอยู่เฉย ๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ฉะนั้นถ้าคุณมีปัญหาคุณต้องต่อสู้ มันเป็นสิ่งที่คุณต้องทำ อย่างเวลาที่เราไปเที่ยวต่างประเทศแล้วอยากให้ประเทศเราเปลี่ยน แต่ได้แค่คิดอยู่เฉย ๆ แล้วเมื่อไหร่มันจะไปถึง
 

เรื่องราวที่คนยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวคุณ แต่คุณอยากเล่าให้ฟัง

ผมเป็นคนชอบปั่นจักรยานมาก มีความฝันที่อยากจะปั่นจักรยานรอบโลกอยู่ มีทริปล่าสุดได้ไปปั่นจักรยานจากปูซานไปโซล มันดีมากจริง ๆ อยากแนะนำให้คนไทยไปต่างจังหวัดเกาหลีบ้าง ไม่ต้องเข้าเมืองเลย ส่วนตัวคิดว่าต่างจังหวัดเกาหลีมีความลูกทุ่งมากกว่าญี่ปุ่น มีอาจุมม่าเลี้ยงโซจูแล้วก็เซลฟี่ด้วยกัน ตอนนั้นเริ่มปั่นจากนักดงกังขึ้นเขาไป ตอนลงก็ลงตามทางเลียบแม่น้ำฮัน เป็นแม่น้ำยาวตลอดทั้งเส้นเลย โคตรสวย ความจริงมันยังมีเส้นทางอีกหลายเส้นมาก ถ้าเป็นไปได้อยากเก็บให้หมดทุกเส้นทางเลย

บุคคลที่ประทับใจและอยากแนะนำให้รู้จัก

ถ้าเป็นนักการเมืองอยากแนะนำ ส.ส. ที่นิวยอร์กชื่อ Alexandria Ocasio-Cortez เพราะเป็นคนที่อายุไล่เลี่ยกัน แล้วรู้สึกว่าเรื่องราวชีวิตมีความใกล้เคียงกัน อารมณ์แบบปีก่อนที่จะเป็น ส.ส. ยังเป็นพนักงานเสิร์ฟและทำความสะอาดร้านอยู่ในบาร์อยู่เลย แต่เขาเป็นนักการเมืองจาก Door Knocking เป็นคนธรรมดาที่เป็นตัวแทนของประชาชนที่เข้าใจบริบทคนทั่วไปจริง ๆ 
 
ถ้าเป็นสายเบียร์จะแนะนำ Mikkel Borg Bjergsø เจ้าของแบรนด์ Mikkeller ผมได้รับอิทธิพลและความชอบเบียร์มาจากเรื่องราวของเขาเลย เขาเคยเล่าว่าตัวเองเป็นอาจารย์สอนฟิสิกส์ที่โรงเรียนมอปลายแห่งนึงในเดนมาร์ก หลังเลิกเรียนจะชวนเด็กนักเรียนที่สนิทสองคนเข้ามาต้มเบียร์ในโรงเรียนในห้องแล็บ เด็กสองคนนั้นก็ชอบกินเบียร์ ซึ่งที่เดนมาร์กกฎหมายคือสามารถเริ่มซื้อเหล้าได้ตอนอายุ 16 ตัว Mikkel เอง ไม่ได้มีโรงเบียร์ของตัวเอง แต่เน้นทำสไตล์เบียร์โดยการไปจ้างโรงเบียร์ที่เก่งที่สุดในเมืองนั้น เหมือนเป็นยิปซีบริวเวอร์ และสองคนนั้นที่ช่วยต้มเบียร์หลังเลิกเรียน ในท้ายที่สุดสองคนนั้นมาเปิดบริษัทเบียร์ของตัวเองชื่อว่า To Øl beer 

คำแนะนำสำหรับคนที่ตามหาแพสชัน

มีสิ่งนึงที่เรียนรู้มาเร็ว ๆ นี้จากภรรยาตัวเอง ว่าความจริงแล้วเราทุกคนไม่จำเป็นต้องมีแพสชันก็ได้ มันไม่ได้ผิดอะไร การที่คุณมีแพสชันมันเหมือนเป็นพรอย่างนึง แต่มันก็เป็นกรรมด้วย มันทำให้คุณมีแรงจูงใจที่จะทำอะไรบางอย่าง ที่บางทีมันอาจจะทำให้คุณเหนื่อย ถ้าให้แนะนำก็คงแนะนำว่าให้ทำไปก่อน เดี๋ยวมันก็จะหาเจอเอง เราชอบอะไรไม่ชอบอะไรมันเปลี่ยนได้อยู่แล้ว และหวังว่าวันไหนประเทศมันดีขึ้น มีสวัสดิการที่ดี เราคงได้เห็นคนไล่ล่าแพสชันตัวเองได้ง่ายขึ้น กล้าตัดสินใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพื่อไล่ล่าความชอบตัวเองได้นานมากขึ้น 
 
คำตอบมันอยู่ที่ว่าเราจะทำยังไงให้ตัวเองอยู่ได้ สุดท้ายแล้วเมื่อคุณหามันเจอแล้วคุณบริหารจัดการมันได้ยังไง เพราะบางทีแพสชันมันมีหาย มีเบื่อ มีเกลียดนะ อย่างผมเคยกินเบียร์จนเกลียดมันไปเลย กินเยอะเกินไปจนช่วงนั้นแทบไม่อยากจะกินแล้ว เพราะตอนนั้นต้องเทรนเรื่องเบียร์ให้คนด้วย จากที่เคยทำมันเป็นแพสชัน เป็นงานอดิเรก กลายมาเป็นงานเลยต้องลงลึกกับมันเลยทำให้เบื่อมันไปเหมือนกันในช่วงนึง

Secret Facts

จากที่เคยเป็น Yes Man ผมต้องเรียนรู้ที่จะ Say No และสร้างความเข้าใจด้วยเหตุผลบ้าง

สิ่งที่ชอบทำในชีวิตประจำวันที่คนอื่นไม่รู้

เป็นคนติด YouTube มาก แบบของแท้เลย เรียกว่าดูจนหลับไปเลย สมัยเด็กก็ชอบดูสารคดีพวก National Geographic มาก หรืออะไรที่เป็นพวกประวัติศาสตร์สงครามโลกอะไรแบบนั้น
 

เหตุการณ์ที่สร้างบทเรียนที่ดีให้กับตัวคุณ

ตอนเด็กเคยจะได้ออกเทปวงร็อกกับเพื่อนที่โรงเรียน ตอนนั้นค่ายเพลงเขาให้เลือกสองทางคือ รับเงินเดือน 15,000 แบบไม่รวมยอดขาย กับอย่างที่สองคือไม่ได้เงินเดือนแต่ได้เงินจากยอดขาย ตอนนั้นคิดว่าถ้าได้ออกเทปต้องดูเป็นคนเท่ ๆ เลยไปขอพ่อ แต่พ่อไม่เห็นด้วย แล้วบอกให้ไปตั้งใจเรียนหรือหาอาชีพที่ดีกว่า ความจริงพ่อเป็นคนเปิดมากนะ เขาไม่ค่อยห้ามเวลาผมจะทำอะไร แต่ตอนนั้นเขามองว่ามันไม่ดี ตอนนั้นผมเลยปฏิญานกับตัวเองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ให้พ่อเลือกแล้ว หลังจากนี้ชีวิตเป็นของเรา ผมรู้สึกได้นะว่าพ่อเขารับฟัง แต่ด้วยความเป็นเด็กอาจจะยังไม่สามารถที่จะอธิบายหรือพูดให้มันเห็นภาพขนาดนั้น ถือว่าเป็นบทเรียนที่ทำให้ตัดสินใจทำอะไรในชีวิตด้วยตัวเอง
 
ส่วนการเมืองก็เป็นประสบการณ์หนึ่งที่มีค่ามากกับการทำงาน การเมืองมันคือการเล่นบอร์ดเกมที่ไม่มีกติกา มันคือการเล่นยังไงก็ได้ให้ชนะฝั่งตรงข้าม ด้วยวิธีการไหนก็ได้ มันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย เป็น ส.ส. มาสามปีทำให้เราโตขึ้นมา มีความเข้มข้นในตัวสูงมาก คนเรายังต้องผิดพลาดอีกเยอะเพื่อที่จะก้าวข้ามมันไป ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเจออะไรแบบนี้ ถ้าเราล้มจักรยานไปแล้วเรากลัวจนไม่อยากขับ แต่สุดท้ายเราก็ต้องขับมันให้ได้อยู่ดี ใช้ชีวิตเจ็บซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ มันคงไม่ไหว แต่มันก็ต้องมีโอกาศดี ๆ เกิดขึ้นบ้างละ 
 

บทเรียนที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

ผมคิดว่าในเกมการเมืองเราไว้ใจใครไม่ได้เลย บางคนเคยบอกจะช่วยโหวตสุดท้ายก็ไม่โหวต หรืออยู่ดี ๆ มีคนที่ไม่คิดจะโหวตให้ผมเขาก็โหวตขึ้นมาซะงั้น ยิ่งทำงานในพื้นที่ผมยิ่งได้เรียนรู้การที่จะ say no (ปฏิเสธ) บ้าง บางทีมีคนมาขอว่าช่วยมาติดไฟตรงนั้นตรงนี้หน่อยได้ไหม แต่ด้วยความเป็น ส.ส. มันไม่ได้มีงบมากขนาดนั้น ผมเลยต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธด้วยการส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ ต้องสร้างความเข้าใจด้วยเหตุผล
 
อย่างล่าสุดผมแพ้เลือก ส.ก. ผมรู้สึกเจ็บใจที่สุด ไม่ได้อยากจะโทษใคร โทษประชาชนก็ไม่แฟร์ โทษตัวเองก็รู้สึกว่าทำเต็มที่แล้ว สุดท้ายแล้วถ้าเราทำเต็มที่แล้วก็อย่าโทษตัวเอง บางทีมันเป็นเรื่องของบุญวาสนาเหมือนกันนะ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ผมอาจจะเคยมีอีโก้ จากที่คนบอกผมว่ายังไงโหวตรอบนี้ผมต้องได้ชัวร์ ผมดังฉิบหายเปิด Google ไปมีแต่ข่าวผม 5-6 หน้า แต่สุดท้ายผมก็แพ้อยู่ดี สิ่งเหล่านี้มันทำลายอีโก้ของผมไปหมดแล้ว การเมืองเหมือนเป็นเรื่องที่ใช้เหตุผลนะ แต่ความจริงมันเป็นเรื่องของความรู้สึกเยอะมาก ๆ ไม่มีทางเลยที่เราจะมีคนที่จะรักเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือตลอดไป 
 

ดีใจที่สุดในชีวิตตอนไหน

ตอนที่ชิมเบียร์ตัวเองครั้งแรกแล้วรู้สึกว่า ‘เหี้ย กูทำเบียร์อร่อยสัส ๆ’ แต่ตอนนั้นยังไม่มีความรู้ว่าแบบไหนอร่อยไม่อร่อยนะ คิดจากความรู้สึกตัวเองล้วน ๆ แล้วมันรู้สึก empowered (ได้รับอำนาจ) เพิ่มพลังชีวิตขึ้นมาแล้วอยากทำให้มันเป็นอาชีพ ตอนนั้นจำได้ว่ายังต้มแบบใช้หม้อแกงเขียวหวานแล้วยืมครัวเพื่อนใช้อยู่เลย เอาครกมาตำข้าวบาร์เลย์แล้วมันออกมาเป็นเบียร์ได้จริง ๆ มันดีใจมาก ๆ
 

สถานที่ที่ชอบที่สุด

ชอบใต้ทะเล เพราะเมื่อก่อนไปฟรีไดฟ์บ่อย ถ้าเป็นไปได้อยากจะกลับไปอยู่เขาหลัก อยากทำโรงเบียร์ที่นั่นแล้วมีบาร์อยู่ริมทะเล ออกไปดำน้ำดูปลา เล่นเซิร์ฟโต้คลื่นใช้ชีวิตเท่ ๆ แบบคนแคลิฟอร์เนีย
 

สีที่ชอบที่สุด

ตอนนี้ชอบสีพรรคที่เป็นสีส้ม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เมื่อก่อนไม่ค่อยซื้ออะไรที่เป็นสีส้มนะ แต่ตอนนี้รู้สึกสีส้มมันสดใส แต่งตัวแล้วเท่ด้วย

EXPLORE MORE